ทำไมผ่าคลอดจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้มาดูกันค่ะ

การคลอดนั้นมีหลากหลายวิธีด้วยกัน แต่หนึ่งในนั้นวิธี “การผ่าคลอด” เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งสามารถกำหนด วัน เวลาในการคลอด หรือคุณแม่ที่กลัวเจ็บ กลัวช่องคลอดฉีดขาด ช่องคลอดหลวม เป็นต้นหรือกระทั้งคุณแม่ที่มีปัญหาในการเดินทาง บ้านอยู่ไกล หรือปัญหาการทำงาน การผ่าคลอดจึงเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคุณแม่ในยุคนี้

ระยะเวลาและวิธีการผ่าคลอด

โดยเฉลี่ยแล้วระยะเวลาในการผ่าตัดตั้งแต่ต้นจนเสร็จขั้นตอนนั้นจะอยู่ที่ราวๆ 1 ชั่วโมง โดยหลังจากที่แพทย์ทำความสะอาดหน้าท้องเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะทำกรีดลงบนผิวหนังโดยใช้ระยะเวลาเพียง 9 นาทีจากนั้นจะใส่ผ้าสองผืนที่ช่องว่างด้านข้างของมดลูกเพื่อซับเลือด และกันไม่ให้ลำไส้มารบกวนขณะผ่าตัด จากนั้นผ่าตัดเปิดเยื่อบุช่องท้องส่วนที่ติดกับมดลูก ผ่าตัดเปิดมดลูก และทำการคลอดทารก ตามด้วยการตัดสายสะดือ ทำการคลอดรก เช็ดทำความสะอาดโพรงมดลูก ดึงผ้าซับเลือดและเย็บปิดมดลูก ชั้นต่างๆของผนังหน้าท้องตามลำดับ

การฟื้นตัวจากการผ่าคลอด
คุณแม่จะฟื้นตัวภายใน 24 ชั่วโมง และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 5 วัน ทั้งนี้รอยแผลเป็นบริเวณหน้าท้องคุณแม่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาซักพักหนึ่ง ประมาณ 6 สัปดาห์เพื่อรักษารอยแผลเป็นให้หายดีและแห้งสนิท

การคลอดนั้นมักจะพบเจอปัญหาต่างๆที่ทำให้ไม่สามรถคลอดตามกำหนดที่วางไว้ได้แล้วอะไรบ้างที่เป็นภาวะความเสี่ยง
– ภาวะรกเกาะต่ำ
– ตั้งครรภ์แฝดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
– เด็กตัวใหญ่ไม่สามารถคลอดเองได้
– เด็กเอาก้นลง
– สายสะดือย้อย สายสะดืออยู่ต่ำทำให้คลอดได้ยาก
– คุณแม่มีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงหรือมีความเจ็บป่วยอื่น เช่น ครรภ์เป็นพิษ
– คุณแม่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศซึ่งสามารถติดต่อสู่ลูกน้อยผ่านการคลอดทางช่องคลอด
– มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตซึ่งแพทย์จำเป็นต้องนำเด็กออกจากครรภ์โดยเร็ว

หากแพทย์พบว่าคุณแม่มีภาวะความเสี่ยง ไม่สามารถคลอดได้ด้วยวิธีธรรมชาติได้นั้น แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และเด็ก คุณแม่ยุคใหม่หลายๆท่านคงจะเล็งเห็นข้อดีของการผ่าคลอดกันไปแล้ว แต่อย่างลืมนะคะว่าความปลอดภัยถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยในตัวคุณแม่เองหรือตัวเด็กเองทั้งสิ้น ทางที่ดีหากคุณแม่รู้สึกไม่มั่นใจ เป็นกังวลควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วนที่สุด

การดูแลเด็กให้มีคุณภาพดี มีพัฒนาการที่สมบูรณ์นั้นจำเป็นจะต้องเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ ในปัจจุบันนี้ก็มีอาหารเสริมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ทั้งโรคเรื้อรังที่มีสาเหตุจากการผ่าคลอด และภูมิแพ้สิ่งต่างๆที่เกิดจากสภาวะของสังคมเมือง สิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ก็คือการที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น และหาทางแก้ไขในท้ายที่สุด

รับประทานไข่หลังผ่าคลอด เพราะจะทำให้แผลหายยากจริงหรือไม่

ความเข้าใจที่ว่า หลังจากผ่าคลอด หรือมีแผลจากอุบัติเหตุน้อยใหญ่แล้วห้ามกินไข่เด็ดขาด เพราะไข่จะทำให้แผลอักเสบ เป็นหนอง เน่า หายช้า แผลปูดนูน ดูจะเป็นความเชื่อที่ทำให้หลายๆ คนยึดถือเป็นข้อห้ามมาช้านาน จะจริงเท็จแค่ไหน มาดูกันค่ะ

ทานไข่หลังผ่าคลอด ทำให้แผลอักเสบ หายอยากจริงหรือ

ทางการแพทย์ ไม่มีข้อห้ามนี้ค่ะ กลับส่งเสริมให้คุณแม่หลังคลอดทั้งคลอดปกติและผ่าคลอด รวมไปถึงในผู้ป่วยที่มีแผลตามร่างกายบรับประทานไข่ และเนื้อสัตว์ต่างๆ รวมทั้งพืชตระกูลถั่ว จัดเป็นอาหารหมวดโปรตีน ที่กินแล้วช่วยให้แผลหายและแห้งเร็ว มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ แผลผ่าคลอดที่อักเสบติดเชื้อเกิดจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์หรือการดูแลรักษาหลังเกิดเป็นแผล และเพื่อป้องกันแผลอักเสบเป็นหนอง ควรล้างแผลด้วยน้ำยาล้างแผลตามคำแนะนำของแพทย์ หรืออิงตามหลักปฐมพยาบาล ไม่ใส่ของเหลวแปลกปลอมลงไปที่แผล พยายามให้แผลแห้ง อย่าแกะเกาแผลค่ะ ไข่จัดเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการระดับเทพเมื่อเทียบกับราคาของไข่ไก่ 1 ฟอง ป็นการลงทุนสุขภาพที่สุดคุ้มจริงๆค่ะ หญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด ควรรับประทานไข่ไก่วันละ1 – 2 ฟอง เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงโดยเร็วค่ะ

คุณค่าโภชนาการของไข่

ในไข่ขนาดกลางหนึ่งฟอง(น้ำหนักประมาณ 44 กรัม) จะมี 62 แคลอรี โดยมีสัดส่วนของอาหาร คิดเป็น ไขมัน 63 % โปรตีน 35 % คาร์โบไฮเดรต 2 %เป็นแหล่งที่มีวิตามินสูงเกือบทุกชนิดได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี ยกเว้นวิตามิน Cเป็นแหล่งที่มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก้ ไอโอดีน ฟอสฟอรัส สังกะสี ซีลีเนี่ยม และ แคลเซี่ยมมีธาตุเหล็กและโฟเลตสูง เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อใช้ในการในการสร้างเม็ดเลือด สารอาหารดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ ดังนี้
– บำรุงสายตา เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น
– บำรุงสมองสมอง และการป้องกันโรคในของทารกในครรภ์
– ส่งเสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์
– เสริมสร้าโครงร่างของกระดูกที่แข็งแรง
– ป้องกันมะเร็ง ด้วยสาร antioxidants
– ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
– ป้องกันการติดเชื้อ และส่งเสริมฟื้นฟูใให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
– ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
– บำรุงเส้นผมและเล็บ

ไข่ นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูงตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ มีข้อห้ามในการรับประทานคือ ในคนที่มีระดับคอเรสเตอ รอลสูง ควรงดรับประทานไข่แดง แต่ไข่ขาวไม่จำกัด หรือจำกัด การรับประทานไข่ไม่เกิน 3ฟองต่อสัปดาห์ เพราะในไข่แดงหนึ่งฟองมีคอเลสเตอรอลเท่ากับ 62 %เลยทีเดียว